การลงทุนไม่ใช่เรื่องของนักลงทุนเพียงอย่างเดียว กองทุน LTF เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่มีรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเสียภาษีเงินได้ประจำปีและพร้อมลงทุนในระยะยาว โดยมีเงื่อนไขคือต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน (ถ้าซื้อปลายปีแล้วขายต้นปีปฏิทินที่ 7 ก็เท่ากับระยะเวลาจริงคือ 5 ปีเท่านั้น) และ LTF ต้องลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน 5 หลักเลือกซื้อ LTF ลดหย่อนภาษีอย่างคุ้มค่า 1. ลงทุนให้เหมาะกับฐานเงินเดือน การซื้อกองทุน LTF น้อยเกินไปจะทำให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เต็ม ในขณะเดียวกันการซื้อมากเกินไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะลดหย่อนภาษีได้เยอะแบบไม่จำกัด... แล้วต้องซื้อเท่าไรจึงจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่? คำตอบคือ คุณสามารถซื้อได้ สูงสุด 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และไม่เกิน 500, 000 บาท วิธีคำนวณเริ่มต้นจากการรวมเงินได้ทั้งหมดทั้งปี ได้แก่ เงินเดือน โบนัส ค่าคอมมิชชัน และรายได้อื่นๆ ทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี แล้วคำนวณ 15% จากรายได้รวมทั้งปีนั้นเป็นเพดานสูงสุดที่คุณสามารถซื้อ LTF ได้ 2. เลือกนโยบายการลงทุนของกองทุน เวลาเราเลือกซื้อสินค้า แน่นอนว่าย่อมต้องการของที่ดีและคุ้มค่ากับราคาที่เราจ่ายไป เช่นเดียวกับการลงทุน หลายๆ คนมักตั้งคำถามว่า "ลงทุนกับ LTF ตัวไหนดี? "
ระยะเวลาลงทุน ถือครอง 7 ปีปฏิทิน เช่น หน่วยลงทุนที่ซื้อทั้งหมดในปี 2559 ขายคืนได้ตั้งแต่ ต้นปี 2565 ความต่อเนื่องในการลงทุน ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี ลงทุนปีไหนก็ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ในปีนั้น จำนวนเงินลงทุนขั้น ต่ำ ต่อปี ไม่กำหนด จำนวนเงินลงทุนขั้น สูงสุด ต่อปี ไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และต้องไม่เกิน 500, 000 บาท กรณีผิดเงื่อนไขการลงทุน กรณีผิดเงื่อนไขการลงทุน ขายคืนหน่วยลงทุนก่อนครบ 7 ปีปฏิทิน ยกเว้นทุพพลภาพหรือเสียชีวิต ข้อปฏิบัติหากผิดเงื่อนไขการลงทุน 1) คืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นทั้งหมดทันที พร้อมจ่ายเงินเพิ่มให้รัฐ 1. 5% ต่อเดือน โดยคิดย้อนหลังตั้งแต่เดือน เม. ย. ของปีที่เคยยื่นขอลดหย่อนภาษีไว้ จนถึงวันที่ยื่นคืนภาษี 2) กำไรที่ได้จากการขายคืนที่ผิดเงื่อนไข ถือเป็นรายได้ในปีที่ขายคืนซึ่งต้องนำไปรวมคำนวณภาษีด้วย โดย บลจ. กสิกรไทยจะหักภาษี ณ ที่จ่ายเบื้องต้น 3% 3) หากขายคืนหน่วยลงทุนที่ถือครองต่ำกว่า 1 ปี จะเสียค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน 1. 5%
ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกกองทุนได้ตรงกับความต้องการ และอย่าลืมคำนึงถึงการกระจายความเสี่ยงด้วย คุณสามารถกระจายการลงทุนใน LTF หลายๆ กองทุนที่มีนโยบายต่างกัน และในแต่ละปีก็สามารถเลือกลงทุนใน LTF ต่างกองทุนกันได้ ไม่จำเป็นต้องลงทุนในกองทุนเดิมซ้ำทุกปี นอกจากนี้การจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายนอกเหนือจาก LTF ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ 4.
หรือ "LTF ตัวไหนดีที่สุด? " แต่ก่อนอื่นคำถามแรกที่ผู้ลงทุนทุกคนควรตอบตัวเองให้ได้คือ นอกจากจุดประสงค์เพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว "เป้าหมายในการลงทุนของคุณคืออะไร? "
Update: นักลงทุนสามารถซื้อกองทุน SSF-RMF กับ FINNOMENA ได้แล้ว อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและเริ่มต้นลงทุนได้ที่ หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม. ) มีมติให้ผู้ลงทุนใน "SSF แบบพิเศษ" สามารถนำเงินที่ลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มถึง 2 แสนบาท ก็คงสร้างความดีใจให้กับนักลงทุนหลายๆคน แต่ขณะเดียวกันนักลงทุนอีกส่วนหนึ่ง ก็น่าจะยังสงสัย และมีคำถามในใจอยู่ว่า "SSF แบบพิเศษ" จะต่างกับกองทุน "SSF แบบปกติ" อย่างไร… วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ ในเรื่องนี้กัน ก่อนที่จะไปสู่เรื่องที่เกริ่นไว้ มาอัพเดทกันก่อนดีกว่า ว่าปัจจุบัน "กองทุนรวม" ที่ใช้สำหรับลดหย่อนภาษีได้นั้น มีแบบไหนบ้าง 1. กองทุนรวมที่ไม่สามารถซื้อลดหย่อนภาษีได้แล้ว "กองทุนรวมหุ้นระยะยาว" (Long-Term Equity Fund) หรือ ที่เราเรียกกันสั้นๆว่า "LTF" ถือเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีระยะเวลาถือครองไม่นานนัก (7 ปีปฏิทิน) ประกอบกับ LTF ยังเป็นกองทุนที่เสนอขายต่อเนื่องมายาวนาน จึงทำให้นักลงทุนคุ้นเคยเป็นอย่างดี จนมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ( Asset Under management: AUM) สูงถึง 3. 5 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือน ก. พ. 2563) อย่างไรก็ตามปัจจุบัน เนื่องจากรัฐฯต้องการส่งเสริมให้เกิดการออมในระยะยาวยิ่งขึ้น จึงมีมติไม่ขยายระยะเวลาให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี กับนักลงทุนที่มาซื้อ LTF เพื่อสนับสนุนให้นักลงทุน เข้าไปซื้อในกองทุนประเภทใหม่ ซึ่งก็คือ SSF นั่นเอง 2.
หลังจากที่กองทุน LTF หมดสิทธินำไปลดหย่อนภาษีตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป และมีกองทุน SSF เข้ามาแทน รวมถึงยังมีกองทุน RMF ที่น่าสนใจ ควรจะวางแผนภาษีอย่างไรดี? สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ณ วันที่บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ ก็เข้าสู่เดือนที่ 2 ของปี 2020 แล้วนะครับ ในช่วงหนึ่งเดือนแรกของปีนี้ มีคำถามที่ผมได้รับมาจำนวนมาก เกี่ยวกับแนวทางในการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่เราไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อ LTF มาเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้อีกต่อไป หลายๆ ท่านคงมีคำถามว่าอย่างนี้ ควรจะวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไรดี และ กองทุน SSF (Super Saving Fund) กับ RMF (Retirement Mutual Fund) นั้นควรจะเลือกลงทุนในกองทุนไหนดี ความแตกต่างของแต่ละกองเป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะยังไม่มี บลจ.
คุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?